เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ม.ค. ๒๕๕๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันปีใหม่ วันปีใหม่ทางโลก เห็นไหม วันปีใหม่คือเริ่มชีวิตกันใหม่ มีสิ่งใดผิดพลาดมาแล้ววางสิ่งนั้นไว้ แล้วพยายามทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดีกับตัวเราเอง เราอยากได้ของขวัญปีใหม่ ของขวัญปีใหม่ที่มีคุณค่าที่สุดคือชีวิตนะ ชีวิตเรานี้มีค่ามาก นี่สิ่งที่เป็นของขวัญของเรา ตั้งแต่เมื่อวานนี้ จากปีเก่ามาวันนี้มาเป็นวันปีใหม่ พอปีใหม่ ชีวิตเรามีอยู่ไง เรามีคุณค่าถ้ามีชีวิต พอมีชีวิตขึ้นมา เราทำสิ่งใดก็ได้ ทีนี้คำว่า “มีชีวิต” ใครให้มาล่ะ

จิตใจเราเอง เราทำคุณงามความดีมาถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ “มนุษย์สมบัติ” สิ่งนี้มีค่ามาก ถ้าสิ่งนี้มีค่ามาก เวลาเราเกิดมาแล้ว เวลาเราทุกข์เรายาก เวลาสิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่อง อันนี้เป็นเวรเป็นกรรมของคนนะ ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมของคน คนเราเกิดมามันจะสม่ำเสมอไปตลอดชีวิตมันหาที่ไหนล่ะ

ถ้ามันสม่ำเสมอตลอดชีวิตได้ นี่สิ่งที่เขาสร้างสมของเขามา ถ้าเขาสร้างสมของเขามา แล้วเขาทำของเขาไป เพราะสิ่งต่างๆ ปัญหาสังคมบางอย่างเราควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าความรู้สึกนึกคิดของเรา ในชีวิตของเรา ความที่เราควบคุมได้เรายังควบคุมไม่ได้เลย ความรู้สึกนึกคิดของเรายังควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะไปควบคุมความคิดของใครล่ะ ถ้าเราควบคุมความคิดของคนอื่นไม่ได้ ถ้าเราคิดอย่างนั้นไป นี่สมบัติบ้า

แต่สมบัติของเรา เรารักษาตัวเรา ถ้ารักษาตัวเรา คุณงามความดีของเรา สิ่งที่เราได้มามันได้มาจากไหนล่ะ? มันได้มาจากคุณงามความดีของเรานะ “มนุษย์สมบัติ” การเกิดเป็นมนุษย์สมบัติ ดูเด็กๆ เด็กเล็กๆ ให้ของขวัญเขา ให้สิ่งใด ให้น้ำใจเขา เขาจะมีความชื่นใจของเขามาก เวลาผู้ใหญ่ขึ้นมา สิ่งที่เราทำมา สิ่งนี้มันจืดมันชืด เราต้องค้นคว้าของเราเอง ถ้าค้นคว้าของเราเองนะ ใครทำความสงบของใจเข้าไป ทำความสงบของใจเข้าไป

ดูสิ คนมาถึงนี่ทุกคนต้องกลับบ้านนะ เรามีบ้านมีเรือนกัน เราไปไหนก็แล้วแต่ เราต้องกลับบ้านกลับเรือนของเรา บ้านเรือนของเราเป็นที่พักที่อาศัยในชีวิตนี้ แล้วเวลาจิตใจของเรา เราเข้าหาใจของเราไม่เจอ

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ใครทำความสงบของใจได้ นี่มีบ้านมีเรือนหลังหนึ่งไว้หลบลม หลบฝน หลบแดดนะ ถ้าใครมีบ้านหลังหนึ่ง นี่สัมมาสมาธิ เป็นที่พักของใจ ถ้าใจมันเข้ามาที่พักของมันได้ เห็นไหม ถ้าเข้าหาที่พักของเราได้ เรามีจุดยืนของเรา เราทำสิ่งใดนี่เป็นสมบัติของเรา

เราทำสิ่งใดๆ จะเป็นสมบัติของใครล่ะ นี่มันไม่มีใครเป็นเจ้าของ มันจะเป็นสมบัติของใคร? มันเป็นสมบัติสาธารณะ เห็นไหม แต่ถ้าจิตใจของใครสงบเข้าไป สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานของใคร คนนั้นก็จะได้ผลประโยชน์ของเขา นี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน พอวิปัสสนาขึ้นมามันจะเกิดอริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัติอันนั้นเป็นของใจดวงนั้น เห็นไหม นี่สิ่งที่เกิดกับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้น เวลาเกิดเวลาตายขึ้นไป มันไปไหนล่ะ

สิ่งนี้เป็นของขวัญเรานะ สิ่งที่มีค่ามากๆ เพราะเวลาทุกข์ ใจนี้ก็เป็นคนทุกข์ร้อน เวลาสุข ก็ใจนี้เป็นคนมีความสุข มีความสงบร่มเย็น นี่ความสุข ความทุกข์ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ถ้าข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว แต่ต้องอาศัยคุณงามความดี ทำเพื่อประโยชน์กับเราไป คุณงามความดีมันดีของใคร

ดีของโลก เห็นไหม ดีของโลก ถ้าใครทำคุณงามความดีของโลก ได้มีชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่เขาก็เวียนตายเวียนเกิด แต่ความดีของธรรมๆ ธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ เขาบอกว่า ฟื้นฟูธรรมๆ

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีใครมีปัญญาเลิศไปกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวิสัย นี่ปัญญาสุดยอดแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่สูงสุดเลยล่ะ

แล้วพอสูงสุดแล้ว ดูสิ เรายิงจรวดขึ้นไป ถึงที่สุดแล้วมันก็ตกมาเป็นธรรมดา ทีนี้สูงสุดแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ เวลาพระอานนท์คร่ำครวญ คร่ำครวญขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ แม้แต่ตถาคตเราก็ต้องนิพพานไป สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดา”

มันเป็นธรรมดา สิ่งที่สูงสุดขนาดไหน สูงสุดแล้วมันจะสูงไปกว่านั้นอีกไม่ได้แล้วล่ะ แต่เราเป็นสาวกสาวกะ เกิดมานี่เรามีชีวิตมา เรามีชีวิต เรามีสิ่งที่มีคุณค่ามาก แล้วสิ่งที่มีคุณค่ามาก เรามาศึกษา เรามาค้นคว้า ทางโลกเขาเรียนปริยัติขึ้นมา เขาค้นคว้าทางวิชาการ ค้นคว้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นกิริยา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางกิริยา วางวิธีการเข้าไปสู่ใจ แล้วเราศึกษาสิ่งนั้นมาเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติ เอาสิ่งที่เป็นกิริยาที่จะเข้าไปสู่ใจมาเป็นเป้าหมาย เวลาปฏิบัติไปก็เอากิริยามาตีความหมายกัน

แต่ถ้าเราจะฟื้นฟูธรรมของเรา ถ้าจิตใจของเรา เราฟื้นฟูของเรา ถ้าใจของเราเข้าไปสู่ธรรมๆ เข้าไปสู่ธรรมเข้าไปอย่างไรล่ะ เราทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลกันเพื่อให้จิตใจควรแก่การงานๆ งานของใคร ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำก็เป็นงานทุกข์ยากพอแรงพอสมควรแล้ว ยังจะมีงานอะไรอีกหรือ

งานรื้อค้น งานทำลายอาสวะ ทำลายกิเลสในหัวใจของเรา ถ้างานของเรา นี่เพราะเรามีชีวิต เรามีสติมีปัญญาของเรา เราถึงเห็นคุณค่าจากงานภายใน

เขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขามีความทุกข์ความยากกัน นี่งานหน้าที่การงาน อาบเหงื่อต่างน้ำต้องแบกหามทั้งนั้นแหละ เวลานั่งสมาธิภาวนา นั่งเฉยๆ นั่งเฉยๆ ควบคุมใจของเราให้ได้ นั่งเฉยๆ งานที่ละเอียดกว่านั้นไง ถ้างานที่ละเอียดกว่านั้นมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าคนคนนั้นไม่มีสติปัญญาพอ งานทางโลกเขาเห็นผลประโยชน์ของเขา แล้วนั่งเฉยๆ มันมีประโยชน์อะไร นั่งเฉยๆ มันจะมีประโยชน์อะไร

มีประโยชน์สิ มีประโยชน์มหาศาลเลย ถ้าจิตมันสงบเข้ามานี่นั่งเฉยๆ เวลานั่งเฉยๆ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันไม่ใช่นั่งเฉยๆ ของมันนะ เขาว่า “รู้เฉย รู้เฉย”

มันจะรู้เฉยได้อย่างไร รู้มีสติสิ รู้มีสติ รู้มีปัญญา ถ้ารู้มีสติ รู้มีปัญญาขึ้นมา

สติปัญญาทางโลกๆ เราศึกษาทางวิชาการ เราศึกษามาไว้เป็นแนวทาง เห็นไหม เราจะออกไปเที่ยวกัน เราก็ดูแผนที่ วันนี้จะไปไหน ถนนหนทางมันจะสะดวกสบายไหม รถจะติดข้างหน้าหรือเปล่า เห็นไหม เราดูแผนที่ แล้วออกไปเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ นี่เขาประชาสัมพันธ์ว่ารถติด แต่เราไป เขาแก้ปัญหารถติดไปแล้ว มันโล่งไปหมดเลย

เวลาเราศึกษามาศึกษาเป็นอย่างนั้นแหละ เราลงไปในพื้นที่ เราศึกษาทางโลก ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาปฏิบัติจากที่ไหนล่ะ เวลาถนนหนทางเขาเดินไปเขายังหลง ดูแผนที่แล้วเขายังเข้าซอยผิดเลย แล้วใจนี้เป็นนามธรรม สติมันอยู่ที่ไหน

นี่สติเราก็มีสติพร้อม รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตัวทั่วพร้อมแล้วทำอย่างไรต่อล่ะ รู้ตัวทั่วพร้อมก็รู้ตัวทั่วพร้อมไว้แค่นั้นใช่ไหม

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มันระลึกรู้ตัวมันเอง พอระลึกรู้ตัวมันเอง ระลึกรู้ พลังงานมันก็สะสมมา นาโน สิ่งที่ละเอียดที่สุด สิ่งที่เล็กที่สุด มันสะสมตัวมันๆ ขึ้นมา มันตั้งขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามันตั้งขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ละเอียดที่สุด สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุด แล้วเราพุทโธไว้ พุทโธไว้ พุทโธให้คำบริกรรม ให้จิตมันสะสมมา ให้เข้าสู่ตัวมันเอง

พอเข้าสู่ตัวมันเอง สิ่งที่เป็นขึ้นมา เห็นไหม นี่ศึกษาธรรมมา ศึกษาธรรมมาเป็นแนวทาง เวลาปฏิบัติขึ้นไป พอจิตมันสงบเข้ามา มันอึ้งนะ มันมหัศจรรย์นะ

ไอ้ที่ว่าว่างๆ มันสร้างอารมณ์ มันสร้างอารมณ์ เวลามันทุกข์มันยากมันก็ไปแบกหามอารมณ์นั้นไว้ เวลามันสร้างอารมณ์ให้ว่างๆ แบกหามมาก็เป็นความทุกข์ความยาก ก็วางไว้ วางสิ่งนั้นไว้ วางแล้วเป็นอย่างไรต่อ วางแล้วเป็นอย่างไรต่อ

แต่ถ้ามีคำบริกรรม เห็นไหม คำบริกรรมมันเกิดจากไหนล่ะ? คำบริกรรมมันก็เกิดมาจากจิต คำบริกรรมเกิดมาจากจิต เวลาจิตมันมีความรู้สึกนึกคิดมันก็เสวยอารมณ์ไป นี่สิ่งที่มีค่าๆ สิ่งที่มีค่ามันมีความรู้สึกนึกคิด

แต่คนที่มันตายแล้วมันไม่มีจิต มันไม่มีชีวิต มันมีค่าอะไรล่ะ ซากศพเขาก็เอาไว้เผาไฟ เห็นไหม ดูสิ สัตว์เขาเอามาทำอาหาร เวลาคนตายไปแล้วมันไปไหน แล้วจิตมันไปไหนแล้ว แล้วสิ่งที่มีค่าก็ปล่อยมันหลุดลอยออกไป หลุดลอยออกไปไหน? หลุดลอยออกไปจากชีวิตนี้ไง

สิ่งที่มีค่าอยู่กลางหัวใจนี่

มันไปหาแต่ค่าข้างนอก สิ่งที่โลกเขาให้ค่ากัน แต่สิ่งที่มันเป็นคุณค่าของเราล่ะ ถ้ามีคำบริกรรมของเรา พอจิตมันสงบเข้ามาๆ สงบนี่มันรู้ว่ามันสงบนะ

นี่แม้แต่สมาธิยังทำกันไม่เป็น สมาธิยังทำไม่ได้ เขียนว่าสมาธิ แล้วก็สักไว้ที่หน้าผาก แล้วก็เดินอวดว่าฉันมีสมาธิ ฉันมีปัญญา

ปัญญาอย่างนั้น ดูสิ เขาทำโจรกรรมกัน เขาปล้นชิงกัน เขาวางแผนกี่ซับกี่ซ้อน มันเป็นปัญญาไหมล่ะ ปัญญาอย่างนั้นหาแต่โทษหาแต่ภัยให้กับตัวเอง ปัญญาของเรานะ ปัญญาการเสียสละ เสียสละ ไม่ยึดมั่น ไม่ยึดมั่นกับความรู้สึกนึกคิดอันนี้ แม้แต่ความรู้สึกนึกคิด ดูสิ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา สิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม มันก็ไปติดไว้

สวะนะ สวะขยะเวลามันลงไปในแม่น้ำ ถ้าแม่น้ำพัดไปมันจะออกปากอ่าว แต่ถ้ามันไปติดที่ไหนมันก็ติดอยู่ที่นั่นแหละ เห็นไหม สวะมันติดที่ไหนก็ติดที่นั่น นี่ติดที่ไหน น้ำพัดแรงขนาดไหน น้ำก็พัดไปสิ แต่สวะมันก็ติดอยู่ที่มันติด นี่ก็เหมือนกัน เวลาศึกษามาเราว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ สิ่งนี้เป็นความว่าง สิ่งนี้เป็นธรรม ธรรมของเราๆ

ของเรามันก็ยึดอยู่นั่นไง มันจะตายเปล่าอยู่นั่นน่ะ แต่ถ้ามันเข้าใจแล้วมันปล่อย นี่ของเรา เราก็วาง พอวางแล้วสวะนั้นมันก็หลุดออกมาจากที่มันติด มันจะลอยไปตามแม่น้ำนั้น นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่จิตมันละเอียดเข้าไป เวลามันติด ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นๆ เกร็งไปหมดเลย ยึดไปหมดเลย แล้วก็เอาใจไปติดเอาไว้ ใจมันก็ไม่ละเอียดเข้าไป

แต่ของเรา พุทโธๆๆ พุทโธเพราะอะไร พุทโธ พุทธานุสติ เราพุทโธของเราไปเรื่อย พุทโธไปเรื่อย เห็นไหม มันไหลตามไป ทวนกระแสเข้าไปสู่ใจ ถ้าเข้าไปสู่ใจนะ เวลาเป็นสมาธิไม่พูดกันอย่างนั้นหรอก

สมาธิมหัศจรรย์ สิ่งที่เป็นสมาธิพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยล่ะ แต่รู้ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิแล้วเกิดปัญญา ปัญญามหัศจรรย์กว่านั้น ปัญญาของโลก ปัญญาที่เราศึกษามาอยู่นี่ ปัญญาที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซาบซึ้งมากๆ ซาบซึ้งขนาดที่ว่ามันเสวยอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมันซาบซึ้ง แต่เวลาถ้ามันเข้าไปสู่ใจ ถ้าใจมันเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมามันจะซาบซึ้งขนาดไหน

นี่มันขนพองสยองเกล้า มันคายกิเลสได้นะ

กิเลส เห็นไหม อวิชชามันนอนเนื่องมากับใจ ความรู้สึกนึกคิด คิดขนาดไหนมันมีอวิชชา มีความไม่รู้นอนมาด้วย สงสัยไปหมด ดีขนาดไหนก็สงสัย จะรู้ขนาดไหนก็สงสัย ไอ้สงสัยตัวนั้นมันอนุสัย มันนอนมากับใจ มันมากับใจที่มันศึกษานั่นน่ะ ถ้ามันเข้าไปสู่ใจ แล้วมันไปคายตัวนั้นออก ถ้ามันคายตัวนั้นออก มันต้องเป็นภาวนามยปัญญา

แล้วภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น มันเหมือนจะสุดวิสัย แต่ไม่ มันเหมือนจะสุดวิสัย แต่เราคิดเป็นทางวิทยาศาสตร์ ทางโลกกันไง ธรรมะก็ชุบเอา ปั๊มเอา ก็อปปี้เอา จะให้เหมือนๆ

ไม่ต้องไปห่วงว่ามันจะเหมือนหรือไม่เหมือน ยิ่งเหมือนนั่นแหละสัญญา

เวลามันเกิดขึ้นมานะ เพราะอำนาจวาสนาบารมีของคนนะ ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี หลวงปู่เจี๊ยะ ครูบาอาจารย์พิจารณากายเหมือนกัน หลวงปู่บัวพิจารณากายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะอะไร ไม่เหมือนกันเพราะว่าอำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน

พิจารณากายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน กาย เวทนา จิต ธรรมนี่แหละ พิจารณาเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน แต่ผลอันเดียวกัน ถ้ามันเป็นความจริงนะ

แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง นั่นเป็นสัญญาทั้งหมด

สัญญา ที่บอกว่าอนุสัยมันนอนมาๆ มันจำมา มันรู้แล้ว พอรู้แล้วมันทำไปมันก็ทำของมันไป แต่ถ้าทำความจริงของเราล่ะ สิ่งที่มีค่านะ จิตใจนี้มีค่ามาก จะทำสิ่งใดให้มันเป็นความจริงของใจดวงนั้น ให้มันเป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรานะ จิตใจที่มันจริง สัมมาสมาธิจริง เวลารู้ก็รู้ตามความเป็นจริง

แต่ถ้าใจมันปลอม มันปลอมเพราะอะไรล่ะ มันปลอมเพราะมันสร้างความว่าง สัญญาอารมณ์ อารมณ์ว่าง ไม่ใช่ตัวมันว่าง พออารมณ์มันว่างขึ้นมามันก็จินตนาการของมัน จินตมยปัญญา จินตนาการธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ซาบซึ้ง ซาบซึ้งเหมือนกัน แต่ซาบซึ้งมันชำระกิเลสไหม? ไม่ ไม่ชำระกิเลสแม้แต่ตัวเดียวเลย แต่เรียนมาทำมาเพื่อเป็นการศึกษา เป็นความรู้ของใจนี้ทั้งนั้น นี่ความรู้ ความรู้ แต่ไม่เป็น

แต่ถ้ามันเป็นนะ มันไม่ใช่ความรู้ มันเป็นความจริง มันสำรอกมันคายของมันอย่างไร นี่ภาคปฏิบัติเขาปฏิบัติกันอย่างนี้ เขารู้จริงอย่างนี้ เขาถึงองอาจกล้าหาญของเขา

เพราะความจริงมันคือความจริง เพชรกับเพชรมากองอยู่ด้วยกันมันก็คือเพชร เราเอาวัตถุอื่นไปกองอยู่กับเพชร เพชรทั้งกองเลย แต่ของเรามันไม่ใช่

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

แล้วเราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ เราจะพึ่งกับธรรม แล้วอะไรเป็นที่พึ่ง คนตายแล้วมันเอาอะไรเป็นที่พึ่ง คนตายแล้วมันก็เสวยภพเสวยชาติของมันไป แต่เรายังมีนะ มนุษย์เกิดมามีกายกับใจ มีสุขกับทุกข์

เหมือนคนที่ออกจากคุกมา คนออกจากคุกมาเขาทำความดีก็ได้ ความชั่วก็ได้ คนที่อยู่ในคุกเขาอยู่ในอำนาจของผู้คุม จิตมันเวียนตายเวียนเกิดไป อำนาจของกรรมคุมมันไว้ พอเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีอิสรภาพ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ เลือกทำเอา จะทำความดีก็ได้ ทำความชั่วก็ได้ ปฏิบัติถูกก็ได้ ปฏิบัติผิดก็ได้ เลือกปฏิบัติเอา ถ้าปฏิบัติขึ้นมา ความเป็นจริงเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่มนุษย์มีคุณค่าตรงนี้ไง

มนุษย์มีคุณค่า เพราะร่างกายนี้มันต้องการอาหาร มันบีบคั้นเรา ต้องหาอาหารเพื่อให้ร่างกายนี้ได้ดำรงชีวิต เวลามันบีบคั้นขึ้นมามันก็บีบคั้นขึ้นมาจนใจนี้เป็นทุกข์เป็นยาก แล้วเวลามันบีบคั้นขึ้นมา เวลามันทุกข์มันยาก แม้แต่นั่งนาน นอนนาน เวลามันจำเจสิ่งใดมันก็มีความทุกข์ของมัน ความทุกข์อันนี้มันจะปลุกปลอบให้สติเราตื่นตัวไง

อ๋อ! มนุษย์มันทุกข์อย่างนี้ มันทุกข์อย่างนี้ แต่ทำไมเราไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ล่ะ ทำไมเราไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ว่าสิ่งนี้มันเตือนเรา ธรรมะเตือนเราตลอดเวลา

เวลาไปงานศพ เห็นคนไปงานศพ นั่นล่ะซากศพมันเตือนเรานะ ต้องตายๆ แต่เราก็ไปงานศพกันเป็นแค่ประเพณี ไปงานศพกันแค่วัฒนธรรม แต่ถ้าไปงานศพนะ เวลางานศพเขาเวียนรอบเมรุ ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เวลาเขาเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ “ให้เอ็งมีสติปัญญาบ้าง เอ็งอย่ามานอนจมอยู่อย่างนี้”

เขาเตือนคนอยู่ทั้งนั้นแหละ เวลาไปงานศพ เวลาเขาสวดอภิธรรม เขาสวดเตือนคนอยู่ทั้งนั้นแหละ แต่คนอยู่นี่ เราคุ้นเคยประเพณีวัฒนธรรมจนไม่เห็นค่ามันเลย ทั้งๆ ที่มันเตือนเราตลอดเวลานะ

นี่ของขวัญของเราไง ของขวัญของเรา คือชีวิตเรามันให้คุณค่าเราแล้ว แล้วของขวัญ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา จะเป็นของขวัญของเรา ถ้าของขวัญของเรา เราทำขึ้นมา เราจะได้อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นกับเรา แต่เป็นปัจจัตตัง จิตต้องรู้ เพราะจิตมันเป็น

ของที่เราไม่รู้จะมีคุณค่ากับเราได้อย่างไร ของที่เรารู้เห็นคุณค่ามันจะเป็นของเรา

เราหาของขวัญของเรา ปีใหม่ ปีเก่า มันสมมุติ มันก็เวียนไปอย่างนี้ ชีวิตของเรา ถ้าเราทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันก็จะไม่เวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้เหมือนกัน จะเชื่อหรือไม่เชื่อแล้วแต่คนนั้น แต่ความจริงคือความจริง เอวัง